10 เคล็ดไม่ลับของ John J. Murphy สำหรับนักลงทุนสายเทคนิค
ตลาดกำลังเคลื่อนไปทางไหน หุ้นตัวที่เล็งอยู่จะขึ้นหรือลงได้ไกลแค่ไหน เป็นสิ่งที่นักลงทุนไม่อาจรู้ได้ หลายครั้งที่เราได้เห็นหุ้นขึ้นอย่างรวดเร็วหรือร่วงอย่างหนัก โดยที่ไม่ทราบสาเหตุ จนกระทั่งวันต่อมาถึงจะมีข่าวหลุดออกมาตามหน้าสื่อ สุดท้ายก็ตกรถไปแล้ว หรืออาจจะตัดขาดทุน (Cut loss) ไม่ทัน
การนำศาสตร์อย่างการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาช่วยให้เห็นแนวโน้มของตลาด เป็นหนึ่งในแนวคิดที่นักลงทุนสายเทรดเดอร์ (ซื้อ-ขายเพื่อทำกำไรระยะสั้น) นิยมศึกษาและนำมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการใช้กราฟเทคนิค จะทำให้นักลงทุนได้เห็นสัญญาณการซื้อ-ขาย ที่ผิดปกติ และสามารถตัดสินใจลงทุนได้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถลงทุนได้โดยไม่ต้องสนใจข้อมูลพื้นฐานของบริษัท
แต่การจะดูกราฟเทคนิคและนำมาลงทุนให้ได้ผลตอบแทนนั้นไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่ายนัก นักลงทุนจะต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งมากพอสมควร ซึ่งวิธีที่หลายๆ คนศึกษาจนสำเร็จได้ ส่วนหนึ่งคือศึกษาจากคนที่เคยประสบความสำเร็จในการลงทุนจากการใช้กราฟเทคนิค
ซึ่ง John J. Murphy เป็น 1 ในผู้ที่ประสบความสำเร็จ ได้ออกกฎเหล็ก 10 ข้อ สำหรับนักลงทุนสายเทคนิคให้ได้ศึกษาและนำไปใช้ได้จริง
1.Map the trends: การหาแนวโน้มของราคา
โดยเริ่มศึกษาจากภาพใหญ่ตลาด คือการดูกราฟเทคนิครายเดือน รายสัปดาห์ ดูหลายๆ ปีเพื่อให้ภาพใหญ่ว่าแนวโน้มของราคาเป็นอย่างไร หลังจากที่เห็นแนวโน้มระยะยาวแล้ว ให้มาดูกราฟสั้นแบบรายวัน หรือรายชั่วโมง และนำมาผสมกัน ซึ่งถ้าระยะยาวเป็นขาขึ้น และในระหว่างวันมีกำลังซื้อเข้ามา ก็อาจจะเป็นจังหวะที่ดีที่จะซื้อเพื่อทำกำไร
2.Spot the trend and go with it: จับแนวโน้ม และลุยไปกับมัน
แนวโน้มของตลาดมีทั้ง ระยะยาว, ระยะกลาง และ ระยะสั้น ซึ่งนักลงทุนจะดูว่าต้องการจะเทรดในแนวโน้มไหนของตลาด ถ้าจะเทรดระยะกลาง ก็ให้ดูกราฟวัน และกราฟสัปดาห์ แต่ถ้าจะเทรดระยะสั้น ก็ให้ดูกราฟวัน และกราฟระหว่างวัน หลังจากนั้นให้เทรดไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มนั้น คือ ซื้อเมื่อแนวโน้มเป็นขาขึ้น และขายเมื่อแนวโน้มเป็นขาลง
3.Find the low and high of it: หาแนวรับและแนวต้าน
ราคาที่เหมาะที่สุดในการซื้อคือ ใกล้ๆ แนวรับ และราคาที่เหมาะกับขายที่สุดก็คือ ใกล้ๆ แนวต้าน ซึ่งสามารถกำหนดได้จากราคาในอดีตที่ผ่านมา แต่ในกรณีที่ราคาทะลุแนวรับเดิมหรือแนวต้านเดิม ให้ตั้งสมมติฐานว่า เทรนด์ที่เรามองไว้ อาจจะถึงช่วงกลับตัว หรืออาจจะสร้างแนวรับหรือแนวต้านใหม่ก็เป็นไปได้
4.Know how far to backtrack : รู้ช่วงการพักตัว-แกว่งตัว
ไม่ว่าแนวโน้มราคาจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง จะมีการพักตัวเกิดขึ้น ตลาดจะไม่ขึ้นหรือลงเพียงรวดเดียว 100% การหาเปอร์เซ็นต์ของจุดพักตัว เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการหาแนวรับ และแนวต้าน ที่สำคัญของ John J. Murphy
5.Draw the line: วาดเส้นแนวโน้มราคา
หรือการสร้าง Trendline เป็นวิธีการใช้เครื่องมือ โดยการลากจุด 2-3 จุดบนกราฟ เพื่อหาทิศทางของแนวโน้มราคา ซึ่งตลาดหุ้นจะมีแค่ 2 เทรนด์ นั้นก็คือ Uptrend คือการลากจากจุดต่ำสุดไปสู่จุดต่ำสุดที่สูงขึ้น และ Downtrend คือการลากจากจุดสูงสุดไปสู่จุดสูงสุดที่ต่ำลงมา ซึ่งการสร้าง Trendline นั้นเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง
6.Follow that average: เทรดตามเส้นค่าเฉลี่ย
เส้นค่าเฉลี่ย หรือ Moving average คือสัญญาณซื้อหรือขายจะเกิดขึ้นเมื่อ เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นตัดกัน โดยถ้าเส้นระยะสั้นตัดเส้นระยะยาวขึ้น เป็นสัญญาณซื้อ แต่ถ้า เส้นระยะสั้นตัดเส้นระยะยาวลง เป็นสัญญาณขาย ซึ่งค่าเฉลี่ยที่นิยม คือ 4 และ 9 วัน , 9 และ 18 วัน , 5 และ 20 วัน
7.Learn the turns: เรียนรู้รอบการแกว่งตัว
RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือบอกโมเมนตัมของหุ้น ว่า ราคาตอนนั้นมีการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยถ้าเส้น RSI มากกว่า 70 แสดงถึงมีการซื้อมากเกินไป ส่วนถ้า RSI น้อยกว่า 30 แสดงถึงมีการขายมากเกินไป
8.Know the warnings signs: เข้าใจสัญญาณเตือน
MACD เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือ ที่จะใช้ดูสัญญาณซื้อ-ขาย โดยถ้าเส้นระยะสั้นตัดเส้นระยะยาวขึ้น และทั้ง 2 เส้นอยู่เหนือระดับ 0 ถือว่าเป็นสัญญาณซื้อ แต่ถ้า เส้นระยะสั้นตัดเส้นระยะยาวลง และทั้ง 2 เส้นอยู่ต่ำกว่าระดับ 0 ถือว่าเป็นสัญญาณขาย
9.Trend or not a trend: มีแนวโน้ม หรือ ไม่มีแนวโน้ม
ADX indicator ออกแบบมาเพื่อ "วัดความแข็งแกร่ง" ของสภาวะแนวโน้มของตลาด จะช่วยระบุว่าตลาดอยู่ในสภาวะมีแนวโน้ม หรือ ไม่มีแนวโน้ม ที่จะขึ้นหรือลงจบแล้วหรือยัง ซึ่งจะแตกต่างจาก Indicator ตัวอื่นๆ ที่นักลงทุนนำมาใช้งานกับการจับสัญญาณเทรดตรงๆ ทั้งนี้ในจังหวะที่ตลาดขึ้นหรือลงแรงๆ นั้น ADX จะมาช่วยเป็นตัววัดได้ว่า หุ้นตัวนั้นจะขึ้นต่อจาก Overbought หรือ ลงต่อจาก Oversold ได้หรือไม่
10.Know the confirming signs: เข้าใจสัญญาณยืนยัน
คือให้สังเกตปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพราะปริมาณการซื้อขายเป็นตัวบ่งชี้การยืนยันที่สำคัญมาก ซึ่งสิ่งสำคัญคือ ต้องแน่ใจว่าปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นนั้นไปในทิศทางของแนวโน้ม เช่น ในแนวโน้มขาขึ้นของตลาด ควรเห็นปริมาณการซื้อที่มากขึ้น เพื่อยืนยันว่าเงินใหม่กำลังสนับสนุนแนวโน้มที่มีอยู่ เมื่อปริมาณการซื้อลดลงมักจะเป็นการเตือนว่าแนวโน้มใกล้จะจบแล้ว
สุดท้ายนี้การดูกราฟเทคนิคนั้นเป็นเพียงตัวช่วยการตัดสินใจ เพิ่มความมั่นใจในการลงทุน แต่การลงทุนนั้นก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีกมากมายที่นักลงทุนจำเป็นต้องระวัง ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางการเมือง โรคระบาด หรือภัยพิบัติต่างๆ นักลงทุนจึงควรบริหารพอร์ตให้ดี ให้พร้อมรับมือกับเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว
ที่มา school.stockcharts.com
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
-“นเรศ เหล่าพรรณราย” เปิดใจรับ Cryptocurrency ก่อนจะพลาดโอกาสสร้างความมั่งคั่ง
-ทำไมถึงควรลงทุนกับ 7 เมกะเทรนด์โลก
การนำศาสตร์อย่างการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาช่วยให้เห็นแนวโน้มของตลาด เป็นหนึ่งในแนวคิดที่นักลงทุนสายเทรดเดอร์ (ซื้อ-ขายเพื่อทำกำไรระยะสั้น) นิยมศึกษาและนำมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการใช้กราฟเทคนิค จะทำให้นักลงทุนได้เห็นสัญญาณการซื้อ-ขาย ที่ผิดปกติ และสามารถตัดสินใจลงทุนได้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถลงทุนได้โดยไม่ต้องสนใจข้อมูลพื้นฐานของบริษัท
แต่การจะดูกราฟเทคนิคและนำมาลงทุนให้ได้ผลตอบแทนนั้นไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่ายนัก นักลงทุนจะต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งมากพอสมควร ซึ่งวิธีที่หลายๆ คนศึกษาจนสำเร็จได้ ส่วนหนึ่งคือศึกษาจากคนที่เคยประสบความสำเร็จในการลงทุนจากการใช้กราฟเทคนิค
ซึ่ง John J. Murphy เป็น 1 ในผู้ที่ประสบความสำเร็จ ได้ออกกฎเหล็ก 10 ข้อ สำหรับนักลงทุนสายเทคนิคให้ได้ศึกษาและนำไปใช้ได้จริง
1.Map the trends: การหาแนวโน้มของราคา
โดยเริ่มศึกษาจากภาพใหญ่ตลาด คือการดูกราฟเทคนิครายเดือน รายสัปดาห์ ดูหลายๆ ปีเพื่อให้ภาพใหญ่ว่าแนวโน้มของราคาเป็นอย่างไร หลังจากที่เห็นแนวโน้มระยะยาวแล้ว ให้มาดูกราฟสั้นแบบรายวัน หรือรายชั่วโมง และนำมาผสมกัน ซึ่งถ้าระยะยาวเป็นขาขึ้น และในระหว่างวันมีกำลังซื้อเข้ามา ก็อาจจะเป็นจังหวะที่ดีที่จะซื้อเพื่อทำกำไร
2.Spot the trend and go with it: จับแนวโน้ม และลุยไปกับมัน
แนวโน้มของตลาดมีทั้ง ระยะยาว, ระยะกลาง และ ระยะสั้น ซึ่งนักลงทุนจะดูว่าต้องการจะเทรดในแนวโน้มไหนของตลาด ถ้าจะเทรดระยะกลาง ก็ให้ดูกราฟวัน และกราฟสัปดาห์ แต่ถ้าจะเทรดระยะสั้น ก็ให้ดูกราฟวัน และกราฟระหว่างวัน หลังจากนั้นให้เทรดไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มนั้น คือ ซื้อเมื่อแนวโน้มเป็นขาขึ้น และขายเมื่อแนวโน้มเป็นขาลง
3.Find the low and high of it: หาแนวรับและแนวต้าน
ราคาที่เหมาะที่สุดในการซื้อคือ ใกล้ๆ แนวรับ และราคาที่เหมาะกับขายที่สุดก็คือ ใกล้ๆ แนวต้าน ซึ่งสามารถกำหนดได้จากราคาในอดีตที่ผ่านมา แต่ในกรณีที่ราคาทะลุแนวรับเดิมหรือแนวต้านเดิม ให้ตั้งสมมติฐานว่า เทรนด์ที่เรามองไว้ อาจจะถึงช่วงกลับตัว หรืออาจจะสร้างแนวรับหรือแนวต้านใหม่ก็เป็นไปได้
4.Know how far to backtrack : รู้ช่วงการพักตัว-แกว่งตัว
ไม่ว่าแนวโน้มราคาจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง จะมีการพักตัวเกิดขึ้น ตลาดจะไม่ขึ้นหรือลงเพียงรวดเดียว 100% การหาเปอร์เซ็นต์ของจุดพักตัว เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการหาแนวรับ และแนวต้าน ที่สำคัญของ John J. Murphy
5.Draw the line: วาดเส้นแนวโน้มราคา
หรือการสร้าง Trendline เป็นวิธีการใช้เครื่องมือ โดยการลากจุด 2-3 จุดบนกราฟ เพื่อหาทิศทางของแนวโน้มราคา ซึ่งตลาดหุ้นจะมีแค่ 2 เทรนด์ นั้นก็คือ Uptrend คือการลากจากจุดต่ำสุดไปสู่จุดต่ำสุดที่สูงขึ้น และ Downtrend คือการลากจากจุดสูงสุดไปสู่จุดสูงสุดที่ต่ำลงมา ซึ่งการสร้าง Trendline นั้นเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง
6.Follow that average: เทรดตามเส้นค่าเฉลี่ย
เส้นค่าเฉลี่ย หรือ Moving average คือสัญญาณซื้อหรือขายจะเกิดขึ้นเมื่อ เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นตัดกัน โดยถ้าเส้นระยะสั้นตัดเส้นระยะยาวขึ้น เป็นสัญญาณซื้อ แต่ถ้า เส้นระยะสั้นตัดเส้นระยะยาวลง เป็นสัญญาณขาย ซึ่งค่าเฉลี่ยที่นิยม คือ 4 และ 9 วัน , 9 และ 18 วัน , 5 และ 20 วัน
7.Learn the turns: เรียนรู้รอบการแกว่งตัว
RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือบอกโมเมนตัมของหุ้น ว่า ราคาตอนนั้นมีการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยถ้าเส้น RSI มากกว่า 70 แสดงถึงมีการซื้อมากเกินไป ส่วนถ้า RSI น้อยกว่า 30 แสดงถึงมีการขายมากเกินไป
8.Know the warnings signs: เข้าใจสัญญาณเตือน
MACD เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือ ที่จะใช้ดูสัญญาณซื้อ-ขาย โดยถ้าเส้นระยะสั้นตัดเส้นระยะยาวขึ้น และทั้ง 2 เส้นอยู่เหนือระดับ 0 ถือว่าเป็นสัญญาณซื้อ แต่ถ้า เส้นระยะสั้นตัดเส้นระยะยาวลง และทั้ง 2 เส้นอยู่ต่ำกว่าระดับ 0 ถือว่าเป็นสัญญาณขาย
9.Trend or not a trend: มีแนวโน้ม หรือ ไม่มีแนวโน้ม
ADX indicator ออกแบบมาเพื่อ "วัดความแข็งแกร่ง" ของสภาวะแนวโน้มของตลาด จะช่วยระบุว่าตลาดอยู่ในสภาวะมีแนวโน้ม หรือ ไม่มีแนวโน้ม ที่จะขึ้นหรือลงจบแล้วหรือยัง ซึ่งจะแตกต่างจาก Indicator ตัวอื่นๆ ที่นักลงทุนนำมาใช้งานกับการจับสัญญาณเทรดตรงๆ ทั้งนี้ในจังหวะที่ตลาดขึ้นหรือลงแรงๆ นั้น ADX จะมาช่วยเป็นตัววัดได้ว่า หุ้นตัวนั้นจะขึ้นต่อจาก Overbought หรือ ลงต่อจาก Oversold ได้หรือไม่
10.Know the confirming signs: เข้าใจสัญญาณยืนยัน
คือให้สังเกตปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพราะปริมาณการซื้อขายเป็นตัวบ่งชี้การยืนยันที่สำคัญมาก ซึ่งสิ่งสำคัญคือ ต้องแน่ใจว่าปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นนั้นไปในทิศทางของแนวโน้ม เช่น ในแนวโน้มขาขึ้นของตลาด ควรเห็นปริมาณการซื้อที่มากขึ้น เพื่อยืนยันว่าเงินใหม่กำลังสนับสนุนแนวโน้มที่มีอยู่ เมื่อปริมาณการซื้อลดลงมักจะเป็นการเตือนว่าแนวโน้มใกล้จะจบแล้ว
สุดท้ายนี้การดูกราฟเทคนิคนั้นเป็นเพียงตัวช่วยการตัดสินใจ เพิ่มความมั่นใจในการลงทุน แต่การลงทุนนั้นก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีกมากมายที่นักลงทุนจำเป็นต้องระวัง ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางการเมือง โรคระบาด หรือภัยพิบัติต่างๆ นักลงทุนจึงควรบริหารพอร์ตให้ดี ให้พร้อมรับมือกับเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว
ที่มา school.stockcharts.com
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
-“นเรศ เหล่าพรรณราย” เปิดใจรับ Cryptocurrency ก่อนจะพลาดโอกาสสร้างความมั่งคั่ง
-ทำไมถึงควรลงทุนกับ 7 เมกะเทรนด์โลก
อัปเดตคอร์สใหม่และส่วนลดคอร์สต่างๆ
Thank you!
Policy Pages
Copyright © 2022
รับสิทธิพิเศษก่อนใคร แอดไลน์ @shiftyourfuture