กว่า 65 ปีในเส้นทางอาชีพ ของ มายา แองเจโล (Maya Angelou)
ศึกษาเส้นทางอาชีพ มายา แองเจลู ที่สอนทุกคนได้ดีเรื่องการทำงาน
“อย่าทำงานโดยหวังเงินเป็นหลัก” เป็นคำสอนเก่าแก่ที่หลายคนบอกว่ารู้แต่ทำไม่ค่อยได้ แต่หญิงแกร่งอย่าง “มายา แองเจลู” (Maya Angelou) พิสูจน์ให้เห็นว่าคำสอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถ
ชีวิตและแง่คิดของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมายที่พยายามเป็นคนที่ดีขึ้นและมีจิตใจงดงามกว่าเดิม ชีวิตของมายา ห่างไกลจากคำว่าโรยด้วยกลีบกุหลาบ หากจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับกุหลาบอยู่บ้าง ก็น่าจะเป็นหนามนั่นเองที่โรยเกลื่อนอยู่ตลอดทาง เส้นทางในอาชีพของเธอ กลายเป็นเส้นทางที่สอนทุกคนได้ดีมากในเรื่องของการทำงานและเปลี่ยนงาน
มายา แองเจลู ไม่เคยได้รับการยกย่องให้เป็นกวีเอกของสหรัฐอเมริกาหรือ United States Poet Laureate อย่างเป็นทางการ แต่เธอได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในกวีไม่กี่คนที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมกับสังคมอเมริกัน มายาไม่ได้เริ่มชีวิตการทำงานด้วยการเป็นกวี แต่เริ่มด้วยอาชีพคนคุมรถราง นักแสดง นักเต้นที่เปิดการแสดงในซานฟรานซิสโก ไปจนถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อาหรับ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของชีวิตอันเหลือเชื่อของมายา ซึ่งต้องผจญภัยกับวัยเด็กที่มีแต่เรื่องชวนร้องไห้มากกว่าหัวเราะ
คำคมที่มายาเคยพูดผ่านสื่อนั้นมีหลากหลาย แต่หนึ่งในประโยคที่มีอิทธิพลสูงมาก คือเธอบอกว่า ทุกคนสามารถทำสิ่งที่รักให้สำเร็จได้อยู่แล้ว ดังนั้นแทนที่จะใช้รายได้เป็นเป้าหมายในการทำงาน จงยึดมั่นทำในสิ่งที่ชอบ แล้วทำมันให้ดีจนผู้คนไม่อาจละสายตาไปได้จะดีกว่า
Maya Angelou บอกว่า “เราเลือกสิ่งที่ใช่”
ในช่วงวัยรุ่น มายา แองเจลู เคยได้ทุนเรียนการเต้นและการละครที่สถาบันแรงงานในแคลิฟอร์เนีย แต่ก็จำเป็นต้องหยุดเรียนไปตอนอายุ 16 ปี แล้วไปทำงานเป็นผู้ควบคุมรถรางในซานฟรานซิสโก มายาบอกกับโอปราห์ วินฟรีย์ ในรายการทอล์กโชว์ชื่อดังว่าอยากทำงานนี้เพราะชอบยูนิฟอร์มที่มีหมวก ผ้าพันคอ และแจ็กเก็ตเข้าชุดกัน จนเธอกลายเป็นคนผิวสีคนแรกที่ได้ทำงานในตำแหน่งคนคุมรถราง
จากนั้น ชีวิตของเธอก็ผกผันไปทำงานในไนท์คลับ ไปทำงานในโรงละครบรอดเวย์ชื่อ เฮาส์ออฟฟลาวเออร์ส
และ เริ่มมีแมวมองไปทาบทามให้เธอออกทัวร์กับคณะละครโอเปรา “พอร์กี้แอนด์บีส์” มายาหันหลังให้ละครเวทีบรอดเวย์ เพราะการออกทัวร์ทำให้เธอมีโอกาสท่องเที่ยวไปทั่วยุโรป มายาเล่าว่าโปรดิวเซอร์ละครเวทีบรอดเวย์หาว่าเธอเสียสติที่ยอมไปรับบทตัวประกอบในละครที่แสดงข้างถนน ทั้งที่ได้ข้อเสนอให้รับบทหลักในละครบรอดเวย์ แต่มายาก็ตอบไปว่าเธอกำลังจะเดินทางไปยุโรป และได้มีโอกาสเห็นสถานที่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความฝันนี้ทำให้เธอเลือกทางที่ชอบ และเธอมองว่าเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดของชีวิต
การไปยุโรปทำให้เธอได้ยินหลายภาษา ความใฝ่รู้ทำให้เธอเข้าใจภาษาฝรั่งเศส สเปน ฮีบรู อิตาเลียน และภาษาแฟตี้ของชาวกานา เพิ่มเติมจากภาษาอังกฤษที่เธอรู้อยู่แล้ว
Maya Angelou บอกว่าเราต้อง “กล้าเปลี่ยนแปลง”
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเป็นเด็ก ในวัยเพียง 8 ปี หนูน้อยมายาถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยแฟนของแม่ เธอเล่าความจริงให้พี่ชายฟังจนนำไปสู่การแจ้งความจับคนร้ายไปคุมขัง ต่อมาหลังจากคนร้ายได้รับการปล่อยตัวได้ไม่นาน คนร้ายรายนี้ก็ถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ซึ่งคาดกันว่าเป็นเพราะความโกรธแค้นของหนึ่งในสมาชิกในครอบครัวของมายา เหตุการณ์นี้ทำให้มายาโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุให้มีคนตาย
เมื่อคิดว่าเสียงของตัวเองสามารถฆ่าคนได้ เธอจึงคิดว่าเธอไม่ควรพูดอีก และไม่พูดยาวนานถึง 5 ปี
แต่วันหนึ่ง การได้มีโอกาสอ่านหนังสือประเภทวรรณกรรม ก็ช่วยเยียวยาให้เธอกลับมาพูดอีกครั้ง ก่อนจะไปโลดแล่นในอาชีพที่หลากหลาย ซึ่งหนึ่งในอาชีพที่หล่อหลอมมายาให้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลด้านการเขียน คือการได้เป็นบรรณาธิการให้หนังสือพิมพ์ดิอาหรับออปเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็น 1 ในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่ตีพิมพ์ในจำนวนจำกัดในตะวันออกกลางช่วงระหว่างปี 1960 ถึง ปี 1966
เวลานั้นมายายอมรับว่าเธอไม่เคยทำงานเป็นนักข่าวมาก่อน แต่งานที่ดิออปเซิร์ฟเวอร์ทำให้เธอเรียนรู้งานเขียนและมุมมองลึกซึ้งจากการทำงานในออฟฟิศที่มีแต่ผู้ชายซึ่งไม่เคยทำงานกับผู้หญิงมาก่อน แน่นอนว่าการไม่ได้เป็นคนอิยิปต์และการไม่ได้เป็นคนมุสลิมทำให้ทุกงานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทั้งหมดเป็นความท้าทายที่มายามองว่าเป็นสิ่งที่เธอสนใจเหมือนบังเอิญตกลงไปในบ่อทองคำทีเดียว
ไม่เพียงเป็นบรรณาธิการ มายายังเขียนบทและกำกับภาพยนตร์หลายเรื่อง เธอยังมีบทบาทในการเป็นนักวางแผนกิจกรรมเพื่อรณรงค์สิทธิ์ของคนผิวสีอย่างมัลคอล์ม เอ็กซ์ และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ทั้งคู่ถูกลอบสังหาร โดยมาร์ติน ลูเธอร์ คิงเสียชีวิตในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 40 ปีของมายา
จากนั้น มายา ก็เติบโตมาในเส้นทางนักเขียน นักกวี เรื่อยมา จนในที่สุด มายาก็กลายเป็นกวีคนที่สองในประวัติศาสตร์อเมริกา ที่ได้อ่านบทกวีของเธอเอง ที่ชื่อ “On the Pulse of Morning” ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ ประธานาธิบดี บิล คลินตัน ในปี 1993 ต่อจาก กวีคนแรกคือ โรเบิร์ต ฟรอสต์ ที่เข้าร่วมการอ่านบทกวี ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดีเมื่อปี 1961
“อย่าทำงานโดยหวังเงินเป็นหลัก” เป็นคำสอนเก่าแก่ที่หลายคนบอกว่ารู้แต่ทำไม่ค่อยได้ แต่หญิงแกร่งอย่าง “มายา แองเจลู” (Maya Angelou) พิสูจน์ให้เห็นว่าคำสอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถ
ชีวิตและแง่คิดของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมายที่พยายามเป็นคนที่ดีขึ้นและมีจิตใจงดงามกว่าเดิม ชีวิตของมายา ห่างไกลจากคำว่าโรยด้วยกลีบกุหลาบ หากจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับกุหลาบอยู่บ้าง ก็น่าจะเป็นหนามนั่นเองที่โรยเกลื่อนอยู่ตลอดทาง เส้นทางในอาชีพของเธอ กลายเป็นเส้นทางที่สอนทุกคนได้ดีมากในเรื่องของการทำงานและเปลี่ยนงาน
มายา แองเจลู ไม่เคยได้รับการยกย่องให้เป็นกวีเอกของสหรัฐอเมริกาหรือ United States Poet Laureate อย่างเป็นทางการ แต่เธอได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในกวีไม่กี่คนที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมกับสังคมอเมริกัน มายาไม่ได้เริ่มชีวิตการทำงานด้วยการเป็นกวี แต่เริ่มด้วยอาชีพคนคุมรถราง นักแสดง นักเต้นที่เปิดการแสดงในซานฟรานซิสโก ไปจนถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อาหรับ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของชีวิตอันเหลือเชื่อของมายา ซึ่งต้องผจญภัยกับวัยเด็กที่มีแต่เรื่องชวนร้องไห้มากกว่าหัวเราะ
คำคมที่มายาเคยพูดผ่านสื่อนั้นมีหลากหลาย แต่หนึ่งในประโยคที่มีอิทธิพลสูงมาก คือเธอบอกว่า ทุกคนสามารถทำสิ่งที่รักให้สำเร็จได้อยู่แล้ว ดังนั้นแทนที่จะใช้รายได้เป็นเป้าหมายในการทำงาน จงยึดมั่นทำในสิ่งที่ชอบ แล้วทำมันให้ดีจนผู้คนไม่อาจละสายตาไปได้จะดีกว่า
Maya Angelou บอกว่า “เราเลือกสิ่งที่ใช่”
ในช่วงวัยรุ่น มายา แองเจลู เคยได้ทุนเรียนการเต้นและการละครที่สถาบันแรงงานในแคลิฟอร์เนีย แต่ก็จำเป็นต้องหยุดเรียนไปตอนอายุ 16 ปี แล้วไปทำงานเป็นผู้ควบคุมรถรางในซานฟรานซิสโก มายาบอกกับโอปราห์ วินฟรีย์ ในรายการทอล์กโชว์ชื่อดังว่าอยากทำงานนี้เพราะชอบยูนิฟอร์มที่มีหมวก ผ้าพันคอ และแจ็กเก็ตเข้าชุดกัน จนเธอกลายเป็นคนผิวสีคนแรกที่ได้ทำงานในตำแหน่งคนคุมรถราง
จากนั้น ชีวิตของเธอก็ผกผันไปทำงานในไนท์คลับ ไปทำงานในโรงละครบรอดเวย์ชื่อ เฮาส์ออฟฟลาวเออร์ส
และ เริ่มมีแมวมองไปทาบทามให้เธอออกทัวร์กับคณะละครโอเปรา “พอร์กี้แอนด์บีส์” มายาหันหลังให้ละครเวทีบรอดเวย์ เพราะการออกทัวร์ทำให้เธอมีโอกาสท่องเที่ยวไปทั่วยุโรป มายาเล่าว่าโปรดิวเซอร์ละครเวทีบรอดเวย์หาว่าเธอเสียสติที่ยอมไปรับบทตัวประกอบในละครที่แสดงข้างถนน ทั้งที่ได้ข้อเสนอให้รับบทหลักในละครบรอดเวย์ แต่มายาก็ตอบไปว่าเธอกำลังจะเดินทางไปยุโรป และได้มีโอกาสเห็นสถานที่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความฝันนี้ทำให้เธอเลือกทางที่ชอบ และเธอมองว่าเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดของชีวิต
การไปยุโรปทำให้เธอได้ยินหลายภาษา ความใฝ่รู้ทำให้เธอเข้าใจภาษาฝรั่งเศส สเปน ฮีบรู อิตาเลียน และภาษาแฟตี้ของชาวกานา เพิ่มเติมจากภาษาอังกฤษที่เธอรู้อยู่แล้ว
Maya Angelou บอกว่าเราต้อง “กล้าเปลี่ยนแปลง”
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเป็นเด็ก ในวัยเพียง 8 ปี หนูน้อยมายาถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยแฟนของแม่ เธอเล่าความจริงให้พี่ชายฟังจนนำไปสู่การแจ้งความจับคนร้ายไปคุมขัง ต่อมาหลังจากคนร้ายได้รับการปล่อยตัวได้ไม่นาน คนร้ายรายนี้ก็ถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ซึ่งคาดกันว่าเป็นเพราะความโกรธแค้นของหนึ่งในสมาชิกในครอบครัวของมายา เหตุการณ์นี้ทำให้มายาโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุให้มีคนตาย
เมื่อคิดว่าเสียงของตัวเองสามารถฆ่าคนได้ เธอจึงคิดว่าเธอไม่ควรพูดอีก และไม่พูดยาวนานถึง 5 ปี
แต่วันหนึ่ง การได้มีโอกาสอ่านหนังสือประเภทวรรณกรรม ก็ช่วยเยียวยาให้เธอกลับมาพูดอีกครั้ง ก่อนจะไปโลดแล่นในอาชีพที่หลากหลาย ซึ่งหนึ่งในอาชีพที่หล่อหลอมมายาให้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลด้านการเขียน คือการได้เป็นบรรณาธิการให้หนังสือพิมพ์ดิอาหรับออปเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็น 1 ในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่ตีพิมพ์ในจำนวนจำกัดในตะวันออกกลางช่วงระหว่างปี 1960 ถึง ปี 1966
เวลานั้นมายายอมรับว่าเธอไม่เคยทำงานเป็นนักข่าวมาก่อน แต่งานที่ดิออปเซิร์ฟเวอร์ทำให้เธอเรียนรู้งานเขียนและมุมมองลึกซึ้งจากการทำงานในออฟฟิศที่มีแต่ผู้ชายซึ่งไม่เคยทำงานกับผู้หญิงมาก่อน แน่นอนว่าการไม่ได้เป็นคนอิยิปต์และการไม่ได้เป็นคนมุสลิมทำให้ทุกงานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทั้งหมดเป็นความท้าทายที่มายามองว่าเป็นสิ่งที่เธอสนใจเหมือนบังเอิญตกลงไปในบ่อทองคำทีเดียว
ไม่เพียงเป็นบรรณาธิการ มายายังเขียนบทและกำกับภาพยนตร์หลายเรื่อง เธอยังมีบทบาทในการเป็นนักวางแผนกิจกรรมเพื่อรณรงค์สิทธิ์ของคนผิวสีอย่างมัลคอล์ม เอ็กซ์ และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ทั้งคู่ถูกลอบสังหาร โดยมาร์ติน ลูเธอร์ คิงเสียชีวิตในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 40 ปีของมายา
จากนั้น มายา ก็เติบโตมาในเส้นทางนักเขียน นักกวี เรื่อยมา จนในที่สุด มายาก็กลายเป็นกวีคนที่สองในประวัติศาสตร์อเมริกา ที่ได้อ่านบทกวีของเธอเอง ที่ชื่อ “On the Pulse of Morning” ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ ประธานาธิบดี บิล คลินตัน ในปี 1993 ต่อจาก กวีคนแรกคือ โรเบิร์ต ฟรอสต์ ที่เข้าร่วมการอ่านบทกวี ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดีเมื่อปี 1961
และ “On the Pulse of Morning” นี่เองที่ทำให้มายา ได้รับรางวัลแกรมมี่อวอร์ดในปี 1994 ในสาขา Best Spoken Word Album อีกด้วย
Maya Angelou บอกเราว่า “ต้องเลือกทำในสิ่งที่รัก”
อาชีพของมายาไม่ได้หยุดที่กวี แต่มายา แองเจลู ยังได้เขียนตำราทำอาหารจำนวน 2 เล่มซึ่งถ่ายทอดช่วงเวลาที่เธอมีความสุขกับการเป็นเชฟปรุงอาหาร เธอตั้งชื่อตำราอาหารเสียแหวกแนวว่า Hallelujah! The Welcome Table และ Great Food, All Day Long ซึ่งมายาบอกว่า เธอจะมีความสุขมากถ้าหนังสือเล่มนี้ตกอยู่ในมือของคนกล้าที่ยอมเข้าไปในครัวแล้วยอมทำตามสูตรนั้น
จนในปี 2000 ซึ่งมายามีอายุ 72 ปี เธอเริ่มโปรเจ็กต์เขียนข้อความและบทกวีให้กับบัตรอวยพร แบรนด์ดังอย่างฮอล์มาร์ก แม้มายาจะรู้ดีว่าโปรเจ็กต์นี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเธอพยายามหารายได้อย่างหนัก แต่เธอไม่แคร์และมองว่าโปรเจ็กต์นี้จะทำให้บทกวีของเธอ สามารถลอยไปอยู่ในมือของผู้คน โดยเฉพาะคนที่ไม่คิดจะซื้อหนังสือไปอ่าน แต่มักจะซื้อบัตรอวยพรเพื่อส่งความปรารถนาดีให้กับคนอื่น
เส้นทางชีวิตของมายาสะท้อนว่า หญิงแกร่งคนนี้มองช่วงเวลาลำบากของชีวิตเป็นโอกาสเสมอ ขณะเดียวกัน มายาไม่กลัวที่จะเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวและความคิดของตัวเอง ทั้งหมดนี้ทำให้เธอพัฒนาความกล้าจนเห็นได้ชัดในทุกเส้นทางการทำงานที่แหวกแนวและแตกต่าง โดยต้องไม่ลืมที่จะมีความหวังกับอนาคตอยู่เสมอ
มายาบอกว่าคำแนะนำที่เธอใช้มาตลอดชีวิตการทำงานกว่า 65 ปี คือคำแนะนำจากคุณยายแอนนี่ เฮนเดอร์สัน คุณยายบอกว่า
“ถ้าโลกทำให้เราอยู่บนถนนที่ไม่ชอบ แถมเป็นถนนที่ถ้าเรามองไปข้างหน้าก็ยังเห็นปลายทางที่เราไม่ต้องการ ยิ่งเมื่อมองไปข้างหลังก็ยังเป็นเส้นทางที่เราไม่อยากจะกลับไปเหยียบซ้ำ แบบนี้เราควรจะก้าวออกไปจากถนนเส้นนั้น แล้วลงมือสร้างถนนเส้นทางใหม่ด้วยตัวเอง”
มายา แองเจลูเสียชีวิตในปี 2014 ขณะมีอายุได้ 86 ปี
Maya Angelou บอกเราว่า “ต้องเลือกทำในสิ่งที่รัก”
อาชีพของมายาไม่ได้หยุดที่กวี แต่มายา แองเจลู ยังได้เขียนตำราทำอาหารจำนวน 2 เล่มซึ่งถ่ายทอดช่วงเวลาที่เธอมีความสุขกับการเป็นเชฟปรุงอาหาร เธอตั้งชื่อตำราอาหารเสียแหวกแนวว่า Hallelujah! The Welcome Table และ Great Food, All Day Long ซึ่งมายาบอกว่า เธอจะมีความสุขมากถ้าหนังสือเล่มนี้ตกอยู่ในมือของคนกล้าที่ยอมเข้าไปในครัวแล้วยอมทำตามสูตรนั้น
จนในปี 2000 ซึ่งมายามีอายุ 72 ปี เธอเริ่มโปรเจ็กต์เขียนข้อความและบทกวีให้กับบัตรอวยพร แบรนด์ดังอย่างฮอล์มาร์ก แม้มายาจะรู้ดีว่าโปรเจ็กต์นี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเธอพยายามหารายได้อย่างหนัก แต่เธอไม่แคร์และมองว่าโปรเจ็กต์นี้จะทำให้บทกวีของเธอ สามารถลอยไปอยู่ในมือของผู้คน โดยเฉพาะคนที่ไม่คิดจะซื้อหนังสือไปอ่าน แต่มักจะซื้อบัตรอวยพรเพื่อส่งความปรารถนาดีให้กับคนอื่น
เส้นทางชีวิตของมายาสะท้อนว่า หญิงแกร่งคนนี้มองช่วงเวลาลำบากของชีวิตเป็นโอกาสเสมอ ขณะเดียวกัน มายาไม่กลัวที่จะเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวและความคิดของตัวเอง ทั้งหมดนี้ทำให้เธอพัฒนาความกล้าจนเห็นได้ชัดในทุกเส้นทางการทำงานที่แหวกแนวและแตกต่าง โดยต้องไม่ลืมที่จะมีความหวังกับอนาคตอยู่เสมอ
มายาบอกว่าคำแนะนำที่เธอใช้มาตลอดชีวิตการทำงานกว่า 65 ปี คือคำแนะนำจากคุณยายแอนนี่ เฮนเดอร์สัน คุณยายบอกว่า
“ถ้าโลกทำให้เราอยู่บนถนนที่ไม่ชอบ แถมเป็นถนนที่ถ้าเรามองไปข้างหน้าก็ยังเห็นปลายทางที่เราไม่ต้องการ ยิ่งเมื่อมองไปข้างหลังก็ยังเป็นเส้นทางที่เราไม่อยากจะกลับไปเหยียบซ้ำ แบบนี้เราควรจะก้าวออกไปจากถนนเส้นนั้น แล้วลงมือสร้างถนนเส้นทางใหม่ด้วยตัวเอง”
มายา แองเจลูเสียชีวิตในปี 2014 ขณะมีอายุได้ 86 ปี
อัปเดตคอร์สใหม่และส่วนลดคอร์สต่างๆ
Thank you!
Policy Pages
Copyright © 2022
รับสิทธิพิเศษก่อนใคร แอดไลน์ @shiftyourfuture