5 คำถามกับ JobsDB | เรื่องงานและความท้าทายของคนหางานในยุคโควิด-19
ในสถานการณ์ทั่วไป เวลารู้สึกเครียด คำว่า “อย่าคุยเรื่องงาน” อาจเป็นคำที่เราใช้กันจนติดปากเพื่อหลีกเลี่ยงไม่คุยกัน แต่ในสถานการณ์ไม่ปกติอย่างวิกฤติโควิด-19 ที่เราเผชิญกันมาตั้งแต่ต้นปี กลายเป็นว่า ไม่มีใครไม่คุยเรื่องงาน เครียดก็ต้องคุย ไม่เครียดก็ต้องคุย เพราะนี่คือเรื่องสำคัญและใครจะรู้ว่าวิกฤติดังกล่าวอาจส่งผลกระทบกับเราไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ตัวเลขคนว่างงานหรือตัวเลขคนมีงานทำ ล้วนเป็นตัวชี้วัดสัญญาณเศรษฐกิจ แต่นอกจากตัวเลขแล้ว ยังมีข้อมูลสำคัญอีกหลายประการที่จะบอกว่าตลาดแรงงานในบ้านเรามีทิศทางไปด้านไหน เราควรเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบันนี้อย่างไร รวมทั้งทัศนคติเกี่ยวกับการทำงาน เอาเป็นว่า… เรื่องแบบนี้คงไม่คุยไม่ได้แล้ว
และในเมื่อจะคุยกันทั้งที คงไม่มีใครเหมาะกว่า กุ้ง – พรลัดดา เดชรัตน์วิบูลย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท JobsDB (ประเทศไทย) จำกัด หรือ JobsDB.com ที่ปักหมุดเป็นแพล็ตฟอร์มจัดหางานที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทยแทบจะเป็นเจ้าแรกๆ แถมอยู่ในใจคนหางานมาเป็นเวลากว่า 20 ปี
เชื่อว่า 5 คำถามสำคัญต่อไปนี้ จะทำให้คุณค้นพบคำตอบในตัวเองเกี่ยวกับเรื่องงาน ที่ทุกคนล้วนต้องใช้เวลาเกือบค่อนชีวิตในการอยู่กับมัน
ตัวเลขคนว่างงานหรือตัวเลขคนมีงานทำ ล้วนเป็นตัวชี้วัดสัญญาณเศรษฐกิจ แต่นอกจากตัวเลขแล้ว ยังมีข้อมูลสำคัญอีกหลายประการที่จะบอกว่าตลาดแรงงานในบ้านเรามีทิศทางไปด้านไหน เราควรเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบันนี้อย่างไร รวมทั้งทัศนคติเกี่ยวกับการทำงาน เอาเป็นว่า… เรื่องแบบนี้คงไม่คุยไม่ได้แล้ว
และในเมื่อจะคุยกันทั้งที คงไม่มีใครเหมาะกว่า กุ้ง – พรลัดดา เดชรัตน์วิบูลย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท JobsDB (ประเทศไทย) จำกัด หรือ JobsDB.com ที่ปักหมุดเป็นแพล็ตฟอร์มจัดหางานที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทยแทบจะเป็นเจ้าแรกๆ แถมอยู่ในใจคนหางานมาเป็นเวลากว่า 20 ปี
เชื่อว่า 5 คำถามสำคัญต่อไปนี้ จะทำให้คุณค้นพบคำตอบในตัวเองเกี่ยวกับเรื่องงาน ที่ทุกคนล้วนต้องใช้เวลาเกือบค่อนชีวิตในการอยู่กับมัน
1. ในฐานะที่คุณทำงานในองค์กรที่ช่วยผู้คนหางาน อยากทราบวิธีคิดในการย้ายงานเพื่อการเติบโตและพัฒนาตัวเอง
"ก่อนจะย้ายงานไปไหน จะตั้งเป้าหมาย achievement ก่อน เราจะคิดไว้เลยว่าเราอยากบรรลุเป้าหมายอะไรในบริษัทที่เราจะไป เราไม่ใช่คนที่จะเข้าไปทำงานปีสองปีเพื่ออัพเงินเดือนแล้วกระโดดไปที่ใหม่ เพราะเวลามีคนมาถามว่า แล้วที่เดิมทำอะไรที่สำเร็จไปแล้วบ้าง เราก็จะตอบไม่ได้ มันทำให้เราไม่สามารถสร้างคุณค่าให้ตัวเองและบริษัทได้
ส่วนตัวแล้ว ก่อนจะย้ายงานไปไหน จะตั้งเป้าหมาย achievement ก่อน เราจะคิดไว้เลยว่าเราอยากบรรลุเป้าหมายอะไรในบริษัทที่เราจะไป ก่อนหน้าจะมาทำที่ JobsDB เราอยู่ในบริษัทที่ทำแพลตฟอร์มขายรถยนต์ ตอนนั้นก็เข้าไปเพื่อพลิกฟื้นกิจการที่กำลังขาดทุน ก็ตั้งเป้าไว้ว่าเราจะดูเรื่องนี้จริงจัง ต้องผลักดันบริษัทเพื่อให้ได้กำไร และลดการขาดทุนได้ทุกปี พอปีสุดท้ายที่เราอยู่บริษัทก็ได้กำไรละ เราก็จะคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ใครเข้ามาชวนไปไหนเราก็ไม่ไป เพราะรู้สึกว่ายังไม่ได้บรรลุเป้าหมาย เพราะเราไม่ใช่คนที่จะเข้าไปทำงานปีสองปีเพื่ออัพเงินเดือนแล้วกระโดดไปที่ใหม่ เพราะเวลามีคนมาถามว่า แล้วที่เดิมทำอะไรที่สำเร็จไปแล้วบ้าง เราก็จะตอบไม่ได้ มันทำให้เราไม่สามารถสร้างคุณค่าให้ตัวเองและบริษัทได้ แต่ถ้าเราทำงานตอบแทนบริษัทและทีมได้เต็มที่ บรรลุเป้าหมายแล้ว เราก็พร้อมไปหาความท้าทายใหม่ๆ
2. ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าแพลตฟอร์มที่ช่วยในเรื่องการจัดหางานก็มีมากมาย แล้ว JobsDB มีความแตกต่างกับที่อื่นอย่างไร?
"แคนดิเดตของเราจะเป็นคนที่มีประสบการณ์ในการทำงาน จบปริญญาตรี และใช้ภาษาอังกฤษได้ดี เราจะมีกลุ่มนี้อยู่เยอะมาก และน่าจะเป็นแบรนด์เดียวในประเทศที่มีกลุ่มนี้เยอะมากที่สุด เมื่อเรามีแคนดิเดตที่มีคุณภาพดี ก็จะมีผู้ประกอบการมาสนใจมองหาคนไปทำงานเยอะ และปัจจุบันเรามีผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าเรากว่า 70,000 องค์กร
เรามองว่าเป็นเรื่องของแคนดิเดต หรือคนที่มาสมัครงานผ่านแพล็ตฟอร์มของเรา ถ้ามองไปที่ภาพรวมของตลาดแรงงานในบ้านเรา จะเห็นว่ามีตำแหน่งงานหลากหลายตั้งแต่ งานสำหรับคนที่จบไม่ถึงปริญญาตรี ไปถึงจบมากกว่าปริญญาตรี ซึ่งจุดแข็งของเราคือ แคนดิเดตของเราจะเป็นคนที่มีประสบการณ์ในการทำงาน จบปริญญาตรี และใช้ภาษาอังกฤษได้ดี เราจะมีกลุ่มนี้อยู่เยอะมาก และน่าจะเป็นแบรนด์เดียวในประเทศที่มีกลุ่มนี้เยอะมากที่สุด เมื่อเรามีแคนดิเดตที่มีคุณภาพดี ก็จะมีผู้ประกอบการมาสนใจมองหาคนไปทำงานเยอะ และปัจจุบันเรามีผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าเรากว่า 70,000 องค์กรแต่การที่เราจะสร้างกลุ่มแคนดิเดตที่มีคุณภาพดีแบบนี้ได้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มีเงินแล้วใส่ตู้มเข้าไป มันผ่านการสร้างกลุ่มลูกค้ามานาน และแบรนด์ก็ต้องเป็นที่รู้จักด้วย เราอยู่ในตลาดมาเกิน 20 ปี ก็ไม่ง่ายที่ใครจะเข้ามาแข่งได้ ส่วนในมุมของแคนดิเดตเอง ในภาพรวมประเทศเรามีคนทำงานคุณภาพอยู่เยอะมาก ความรู้ความสามารถเราไม่เป็นรองใคร นี่แค่เทียบประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงนะ ปัญหาหลักๆ ที่เรามีคือเรื่องภาษาอังกฤษ ดังนั้นการที่ JobsDB มีแคนดิเดตที่เก่งเรื่องภาษา เลยทำให้เรามีจุดแข็งตรงนี้ไปด้วย
"ก่อนจะย้ายงานไปไหน จะตั้งเป้าหมาย achievement ก่อน เราจะคิดไว้เลยว่าเราอยากบรรลุเป้าหมายอะไรในบริษัทที่เราจะไป เราไม่ใช่คนที่จะเข้าไปทำงานปีสองปีเพื่ออัพเงินเดือนแล้วกระโดดไปที่ใหม่ เพราะเวลามีคนมาถามว่า แล้วที่เดิมทำอะไรที่สำเร็จไปแล้วบ้าง เราก็จะตอบไม่ได้ มันทำให้เราไม่สามารถสร้างคุณค่าให้ตัวเองและบริษัทได้
ส่วนตัวแล้ว ก่อนจะย้ายงานไปไหน จะตั้งเป้าหมาย achievement ก่อน เราจะคิดไว้เลยว่าเราอยากบรรลุเป้าหมายอะไรในบริษัทที่เราจะไป ก่อนหน้าจะมาทำที่ JobsDB เราอยู่ในบริษัทที่ทำแพลตฟอร์มขายรถยนต์ ตอนนั้นก็เข้าไปเพื่อพลิกฟื้นกิจการที่กำลังขาดทุน ก็ตั้งเป้าไว้ว่าเราจะดูเรื่องนี้จริงจัง ต้องผลักดันบริษัทเพื่อให้ได้กำไร และลดการขาดทุนได้ทุกปี พอปีสุดท้ายที่เราอยู่บริษัทก็ได้กำไรละ เราก็จะคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ใครเข้ามาชวนไปไหนเราก็ไม่ไป เพราะรู้สึกว่ายังไม่ได้บรรลุเป้าหมาย เพราะเราไม่ใช่คนที่จะเข้าไปทำงานปีสองปีเพื่ออัพเงินเดือนแล้วกระโดดไปที่ใหม่ เพราะเวลามีคนมาถามว่า แล้วที่เดิมทำอะไรที่สำเร็จไปแล้วบ้าง เราก็จะตอบไม่ได้ มันทำให้เราไม่สามารถสร้างคุณค่าให้ตัวเองและบริษัทได้ แต่ถ้าเราทำงานตอบแทนบริษัทและทีมได้เต็มที่ บรรลุเป้าหมายแล้ว เราก็พร้อมไปหาความท้าทายใหม่ๆ
2. ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าแพลตฟอร์มที่ช่วยในเรื่องการจัดหางานก็มีมากมาย แล้ว JobsDB มีความแตกต่างกับที่อื่นอย่างไร?
"แคนดิเดตของเราจะเป็นคนที่มีประสบการณ์ในการทำงาน จบปริญญาตรี และใช้ภาษาอังกฤษได้ดี เราจะมีกลุ่มนี้อยู่เยอะมาก และน่าจะเป็นแบรนด์เดียวในประเทศที่มีกลุ่มนี้เยอะมากที่สุด เมื่อเรามีแคนดิเดตที่มีคุณภาพดี ก็จะมีผู้ประกอบการมาสนใจมองหาคนไปทำงานเยอะ และปัจจุบันเรามีผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าเรากว่า 70,000 องค์กร
เรามองว่าเป็นเรื่องของแคนดิเดต หรือคนที่มาสมัครงานผ่านแพล็ตฟอร์มของเรา ถ้ามองไปที่ภาพรวมของตลาดแรงงานในบ้านเรา จะเห็นว่ามีตำแหน่งงานหลากหลายตั้งแต่ งานสำหรับคนที่จบไม่ถึงปริญญาตรี ไปถึงจบมากกว่าปริญญาตรี ซึ่งจุดแข็งของเราคือ แคนดิเดตของเราจะเป็นคนที่มีประสบการณ์ในการทำงาน จบปริญญาตรี และใช้ภาษาอังกฤษได้ดี เราจะมีกลุ่มนี้อยู่เยอะมาก และน่าจะเป็นแบรนด์เดียวในประเทศที่มีกลุ่มนี้เยอะมากที่สุด เมื่อเรามีแคนดิเดตที่มีคุณภาพดี ก็จะมีผู้ประกอบการมาสนใจมองหาคนไปทำงานเยอะ และปัจจุบันเรามีผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าเรากว่า 70,000 องค์กรแต่การที่เราจะสร้างกลุ่มแคนดิเดตที่มีคุณภาพดีแบบนี้ได้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มีเงินแล้วใส่ตู้มเข้าไป มันผ่านการสร้างกลุ่มลูกค้ามานาน และแบรนด์ก็ต้องเป็นที่รู้จักด้วย เราอยู่ในตลาดมาเกิน 20 ปี ก็ไม่ง่ายที่ใครจะเข้ามาแข่งได้ ส่วนในมุมของแคนดิเดตเอง ในภาพรวมประเทศเรามีคนทำงานคุณภาพอยู่เยอะมาก ความรู้ความสามารถเราไม่เป็นรองใคร นี่แค่เทียบประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงนะ ปัญหาหลักๆ ที่เรามีคือเรื่องภาษาอังกฤษ ดังนั้นการที่ JobsDB มีแคนดิเดตที่เก่งเรื่องภาษา เลยทำให้เรามีจุดแข็งตรงนี้ไปด้วย
3. สถานการณ์ปัจจุบัน น่าจะมีผลกระทบกับแพลตฟอร์มหรือคนทำธุรกิจด้านจัดหางาน อยากทราบผลกระทบทั้งในด้านบวกและลบที่เกิดขึ้นในเวลานี้
"ตอนนี้ถ้าบริษัทไหนไม่แข็งแรงจริง ช่วงโดนผลกระทบแรงๆ เขาจะอยู่ไม่ได้เลย เราเองก็ได้รับผลกระทบแต่ไม่ถึงกับเซ เราเชื่อในโครงสร้างของเราด้วยว่าแข็งแกร่งพอ เรามีการตรวจสอบประสิทธิภาพในการทำงานอยู่ตลอด แล้วก็เสริมศักยภาพในการทำงานให้เขาอย่างต่อเนื่อง เราโฟกัสในการพัฒนาพนักงานในช่วงนี้เยอะมาก
ที่ JobsDB มีการเก็บดาต้าเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลมาโดยตลอด เรียกว่าเราเป็น data-driven company เลยก็ว่าได้ เพราะด้วยความที่เรามีบริษัทแม่ชื่อ SEEK ของออสเตรเลีย และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของออสเตรเลียด้วย เมื่อเป็นบริษัทใหญ่และทำธุรกิจครอบคลุมไปทั่วโลก ก็เลยมีการเน้นเรื่องการใช้เทคโนโลยีเยอะมาก ดังนั้นไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี เราจะเห็นข้อมูลตรงนี้ก่อนเลย เพราะเศรษฐกิจมันจะสะท้อนมาจากการจ้างงาน ซึ่งก็คือประกาศหางานที่มีในเว็บไซต์เราและในตลาดด้วย ข้อมูลจึงมีทั้งของบริษัทเราเองและของตลาดโดยรวม ทำให้เราเห็นชัดเจนว่า ถ้าเศรษฐกิจดี ประกาศหางานจะเยอะ แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ประกาศหางานก็จะลด เป็นเรื่องปกติ
ถ้าดูจากเดือนมกราคมปีที่แล้ว ตอนนั้นประกาศหางานมีประมาณ 130,000 ประกาศต่อเดือน แล้วก็ลดมาเรื่อยๆ ล้อมาตาม GDP ประเทศด้วย แต่พอเจอโควิด-19 ทำให้สถานการณ์ต่างๆ มันหักหัวลงไปเร็วมาก ช่วงมีนาคมปีนี้ ตัวเลขทั้งตลาดยังมีประกาศกัน 70,000 กว่าตำแหน่งอยู่เลย แต่เดือนเมษาปีนี้ เลยเห็นว่ามีผลกระทบต่อตลาดงานเยอะที่สุด เพราะเจอล็อคดาวน์ไปด้วย พอประมาณพฤษภาคม ทุกอย่างก็เริ่มขึ้นมาบ้าง แต่ยังไม่ดีเท่ามีนา ตอนนี้เรียกว่าภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่กลับมาเหมือนเดิม โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่ยังสัญญาณไม่ดีมาก
ถามว่าโจทย์ใหญ่สำหรับแพลตฟอร์มแบบ JobsDB คืออะไร? สิ่งที่เราทำได้คือการรักษาคุณภาพของแคนดิเดตเพื่อที่จัดหาให้ผู้ประกอบการได้ และสำหรับบริษัทเอง ก็มีการฝึกอบรมพนักงานในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริการลูกค้า จริงๆ จังหวะนี้เป็นจังหวะดีที่เราเห็นอะไรหลายๆ อย่างว่า ตอนนี้ถ้าบริษัทไหนไม่แข็งแรงจริง ช่วงโดนผลกระทบแรงๆ เขาจะอยู่ไม่ได้เลย เราเองก็ได้รับผลกระทบแต่ไม่ถึงกับเซ เราเชื่อในโครงสร้างของเราด้วยว่าแข็งแกร่งพอ ไม่ว่าจะแพลตฟอร์ม แคนดิเดต หรือแม้แต่พนักงานเราเอง เพราะมีการตรวจสอบประสิทธิภาพในการทำงานอยู่ตลอด แล้วก็เสริมศักยภาพในการทำงานให้เขาอย่างต่อเนื่องด้วย ทำให้ถ้าตลาดกลับมาดีขึ้น เราก็พร้อมเลย เพราะเราโฟกัสในการพัฒนาพนักงานในช่วงนี้เยอะมาก
ส่วนเรื่องสถานการณ์ในอนาคต ก็มีคำถามมาบ่อยๆ นะคะว่า มีข้อมูลว่านักศึกษาจบใหม่ปีนี้กว่าห้าแสนคนโดยประมาณ จะตกงานกันหมดจริงไหม? ต้องบอกว่าเราก็ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมดหรือค้านไปหมด แต่จากข้อมูลที่เราเห็นพบว่าสถานการณ์มันก็เริ่มดีขึ้นแล้ว นอกจากนั้น ผลการสำรวจที่เราทำร่วมกับแคนดิเดตและผู้ประกอบการธุรกิจ 400 กว่าราย พบว่าเกือบ 90% ขององค์กรบอกว่าเขาจะกลับมาจ้างงานแล้วนะ ซึ่งแปลว่าองค์กรก็มั่นใจมากขึ้นในเรื่องของการจัดการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย บางองค์กรกลับมาเปิดได้แล้ว เขาก็ต้องการคนเข้าไปทำงาน แต่อาจจะไม่ได้จ้างเท่ากับที่เคยตั้งใจไว้ มันก็ต้องปรับลดตามสถานการณ์
"ตอนนี้ถ้าบริษัทไหนไม่แข็งแรงจริง ช่วงโดนผลกระทบแรงๆ เขาจะอยู่ไม่ได้เลย เราเองก็ได้รับผลกระทบแต่ไม่ถึงกับเซ เราเชื่อในโครงสร้างของเราด้วยว่าแข็งแกร่งพอ เรามีการตรวจสอบประสิทธิภาพในการทำงานอยู่ตลอด แล้วก็เสริมศักยภาพในการทำงานให้เขาอย่างต่อเนื่อง เราโฟกัสในการพัฒนาพนักงานในช่วงนี้เยอะมาก
ที่ JobsDB มีการเก็บดาต้าเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลมาโดยตลอด เรียกว่าเราเป็น data-driven company เลยก็ว่าได้ เพราะด้วยความที่เรามีบริษัทแม่ชื่อ SEEK ของออสเตรเลีย และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของออสเตรเลียด้วย เมื่อเป็นบริษัทใหญ่และทำธุรกิจครอบคลุมไปทั่วโลก ก็เลยมีการเน้นเรื่องการใช้เทคโนโลยีเยอะมาก ดังนั้นไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี เราจะเห็นข้อมูลตรงนี้ก่อนเลย เพราะเศรษฐกิจมันจะสะท้อนมาจากการจ้างงาน ซึ่งก็คือประกาศหางานที่มีในเว็บไซต์เราและในตลาดด้วย ข้อมูลจึงมีทั้งของบริษัทเราเองและของตลาดโดยรวม ทำให้เราเห็นชัดเจนว่า ถ้าเศรษฐกิจดี ประกาศหางานจะเยอะ แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ประกาศหางานก็จะลด เป็นเรื่องปกติ
ถ้าดูจากเดือนมกราคมปีที่แล้ว ตอนนั้นประกาศหางานมีประมาณ 130,000 ประกาศต่อเดือน แล้วก็ลดมาเรื่อยๆ ล้อมาตาม GDP ประเทศด้วย แต่พอเจอโควิด-19 ทำให้สถานการณ์ต่างๆ มันหักหัวลงไปเร็วมาก ช่วงมีนาคมปีนี้ ตัวเลขทั้งตลาดยังมีประกาศกัน 70,000 กว่าตำแหน่งอยู่เลย แต่เดือนเมษาปีนี้ เลยเห็นว่ามีผลกระทบต่อตลาดงานเยอะที่สุด เพราะเจอล็อคดาวน์ไปด้วย พอประมาณพฤษภาคม ทุกอย่างก็เริ่มขึ้นมาบ้าง แต่ยังไม่ดีเท่ามีนา ตอนนี้เรียกว่าภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่กลับมาเหมือนเดิม โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่ยังสัญญาณไม่ดีมาก
ถามว่าโจทย์ใหญ่สำหรับแพลตฟอร์มแบบ JobsDB คืออะไร? สิ่งที่เราทำได้คือการรักษาคุณภาพของแคนดิเดตเพื่อที่จัดหาให้ผู้ประกอบการได้ และสำหรับบริษัทเอง ก็มีการฝึกอบรมพนักงานในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริการลูกค้า จริงๆ จังหวะนี้เป็นจังหวะดีที่เราเห็นอะไรหลายๆ อย่างว่า ตอนนี้ถ้าบริษัทไหนไม่แข็งแรงจริง ช่วงโดนผลกระทบแรงๆ เขาจะอยู่ไม่ได้เลย เราเองก็ได้รับผลกระทบแต่ไม่ถึงกับเซ เราเชื่อในโครงสร้างของเราด้วยว่าแข็งแกร่งพอ ไม่ว่าจะแพลตฟอร์ม แคนดิเดต หรือแม้แต่พนักงานเราเอง เพราะมีการตรวจสอบประสิทธิภาพในการทำงานอยู่ตลอด แล้วก็เสริมศักยภาพในการทำงานให้เขาอย่างต่อเนื่องด้วย ทำให้ถ้าตลาดกลับมาดีขึ้น เราก็พร้อมเลย เพราะเราโฟกัสในการพัฒนาพนักงานในช่วงนี้เยอะมาก
ส่วนเรื่องสถานการณ์ในอนาคต ก็มีคำถามมาบ่อยๆ นะคะว่า มีข้อมูลว่านักศึกษาจบใหม่ปีนี้กว่าห้าแสนคนโดยประมาณ จะตกงานกันหมดจริงไหม? ต้องบอกว่าเราก็ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมดหรือค้านไปหมด แต่จากข้อมูลที่เราเห็นพบว่าสถานการณ์มันก็เริ่มดีขึ้นแล้ว นอกจากนั้น ผลการสำรวจที่เราทำร่วมกับแคนดิเดตและผู้ประกอบการธุรกิจ 400 กว่าราย พบว่าเกือบ 90% ขององค์กรบอกว่าเขาจะกลับมาจ้างงานแล้วนะ ซึ่งแปลว่าองค์กรก็มั่นใจมากขึ้นในเรื่องของการจัดการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย บางองค์กรกลับมาเปิดได้แล้ว เขาก็ต้องการคนเข้าไปทำงาน แต่อาจจะไม่ได้จ้างเท่ากับที่เคยตั้งใจไว้ มันก็ต้องปรับลดตามสถานการณ์
4. อยากทราบถึงมุมมองเรื่องอาชีพและทักษะของพนักงานในยุคนี้ว่าเป็นอย่างไร?
"ทักษะสำคัญที่พนักงานทุกคนต้องมีเลยคือภาษาอังกฤษ เพราะถ้ามีคนสองคนที่มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ทำงานมาเท่าๆ กัน แต่อีกคนไม่ได้ภาษาอังกฤษ ถามว่าวันนี้โอกาสจะเป็นของใคร?
ส่วนตัวเลยนะ เชื่อว่าทักษะสำคัญที่พนักงานทุกคนต้องมีเลยคือภาษาอังกฤษ เพราะถ้ามีคนสองคนที่มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ทำงานมาเท่าๆ กัน แต่อีกคนไม่ได้ภาษาอังกฤษ ถามว่าวันนี้โอกาสจะเป็นของใคร? ยิ่งถ้าเป็นตำแหน่งที่ต้องสื่อสารกับต่างประเทศ แล้วใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ถือว่าเป็นจุดอ่อนละนะ มันทำให้เราแข่งขันกับตลาดไม่ได้ ถามว่ามันยากมั้ย เชื่อว่ามันไม่ได้ยากถ้าเรามีความตั้งใจหรือมีแพสชันที่จะพัฒนาตัวเอง แต่ส่วนใหญ่มันจะยากเพราะไม่มีแพสชันในการพัฒนาตัวเองนี่แหละ คุณอาจจะมองว่าวันนี้ภาษาอังกฤษไม่จำเป็น แต่ถ้าวันหนึ่งคุณเติบโตไป ต้องทำงานในระดับสูงขึ้นไป คุณจะเป็นผู้บริหารที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เหรอ อย่างน้อยวันนี้คุณมีเวลาพัฒนาตัวเองได้ก็ต้องทำ ยกตัวอย่างน้องคนหนึ่งที่ทำงานด้วยกัน ไม่เคยไปเรียนเมืองนอกสักนิดเดียว แต่ภาษาเขาดีขนาดคนที่ไปเรียนเมืองนอกบางคนอาย ทุกอย่างมันเกิดจากแพสชันล้วนๆ เมื่อเขาชอบภาษาเขาก็พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เคยถามวิธีฝึกของเขา เขาบอกว่าชอบดูหนัง ชอบอ่านบทความภาษาอังกฤษ ก็เลยพัฒนาตัวเองเร็ว หแปลว่าภาษาเป็นทักษะที่ฝึกได้ แต่คุณมีแพสชันมากพอที่จะฝึกหรือเปล่าเท่านั้นเอง ที่สำคัญอย่ามองแค่วันนี้ อีกห้าปีสิบปี คุณไม่คิดว่าคุณจะเติบโตหรือ? ไม่คิดว่าจะมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าคนอื่นหรือ?
นอกจากเรื่องภาษาก็มาเรื่องการเข้าใจเทคโนโลยีออนไลน์ ต้องศึกษาหาความรู้ เรื่องนี้ทิ้งไม่ได้จริงๆ เราต้องตามโลกให้ทันเสมอ ต่อมาคือเรื่องทัศนคติ เพราะต้องเข้าใจว่ามันไม่มีบริษัทไหนเขาอยากรับคนที่มีทัศนคติหรือมายด์เซ็ตแย่ๆ เข้าไปทำงานด้วยหรอก เพราะแต่ละบริษัทเขาก็มีวัฒนธรรมของเขา เขาก็มองหาคนที่มีทัศนคติในการทำงานที่ดี เก่งทั้ง hard skill และ soft skill
และถ้าดูรายงานเรื่องอาชีพมาแรงที่ JobsDB มักจะมีรายงานออกมาบ่อยๆ จะเห็นว่า สายงานที่มาแรงมากๆ ก็คือ เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เทรนด์นี้มาหลายปีติดต่อกันแล้ว คือมีดีมานด์มากกว่าซัพพลาย ประกาศหางานเยอะกว่าคนมาสมัคร แต่เมื่อแรงงานในประเทศมีไม่พอ เขาก็จ้างพนักงานต่างชาติเพื่อทำงานทางไกล เรื่องคนไม่พอไม่ใช่แค่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เป็นการขาดแคลนทั่วโลก ซึ่งประเทศที่มีคนเก่งไอทีเยอะก็อย่างที่เรารู้กันคือ อินเดีย แต่ล่าสุดมีข้อมูลจากคนรอบข้างที่ทำงานด้านการศึกษา เขาบอกว่าประเทศจีนน่าจับตามาก เพราะสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาล เนื่องจากเขาคิดว่ามาสอนตอนโตนี่น่าจะไม่ทันแล้ว แล้วไหนจะมีการให้นักบินอวกาศมาสอนเด็กอนุบาลอีก เขาล้ำไปเยอะมาก เพราะเขาเห็นแล้วว่าโลกในอนาคตจะชนะกันด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกินจริงเลย
5. คุณคิดว่าความหมายของงานในศตวรรษที่ 21 คืออะไร?
"งานไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งที่เราทำแล้วมีรายได้ แต่มันจะต้องตอบโจทย์อะไรบางอย่างของแต่ละคนได้ด้วย
งานไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งที่เราทำแล้วมีรายได้ แต่มันจะต้องตอบโจทย์อะไรบางอย่างของแต่ละคนได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ตัวเราเองก่อนมาทำงานนี้ก็คิดเยอะว่าจะทำดีมั้ย แต่มันมีประโยคหนึ่งที่ Regional Director ที่รับเราบอกว่า คุณไม่อยากทำงานที่สามารถช่วยคนที่ตกงานได้มีงานทำเหรอ นี่คืองานที่คุณสามารถช่วยคนได้ มีรายได้ไปเลี้ยงครอบครัว ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นนะ เราก็คิดเลยว่า เออ มันจะมีงานสักกี่แห่งที่ทำแล้ว เรามีรายได้เลี้ยงตัวเองได้ และยังช่วยคนอื่นได้อีก จากการทำงานของเราทุกวันนี่แหละ พูดง่ายๆ คือทำงานอย่างมีเป้าหมาย ทำงานที่เรารู้สึกว่ามีความหมาย หรือได้สร้างผลกระทบที่ดีให้กับสังคม แบบนั้นมากกว่าที่เรามองว่าเป็นความหมายที่ดีของการทำงาน เพราะจะว่าไปแล้วการทำงานแค่ตอบโจทย์เรื่องรายได้ คุณทำอะไรก็ได้นี่ แต่สำหรับบางคนมันไม่ใช่ เขาอาจจะยอมทำงานบางอย่างไม่ได้เลย ทุกข์ทรมานมาก เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์ภายในตัวเอง เราก็เคยมีคนมาทาบทามให้ไปทำงานกับบริษัทใหญ่บางแห่ง แต่เรารู้เลยว่าเนื้อหาของงานนั้นจะเป็นงานที่เราทำแล้วไม่มีความสุข แม้จะได้เงินก็ตาม แต่เราไม่อินไง เมื่อเราไม่อิน เราก็ไม่สามารถสร้างงานกับเขาได้
ต้องย้ำว่าการทำงานที่มีความสุขมันสำคัญมาก เพราะถ้าเราสนุก มีความสุข เราก็จะทุ่มเทมาก อย่างโปรเจ็กต์หนึ่งของ JobsDB เป็นผลงานที่เราทำตอนช่วงโควิด-19 เรียกว่าโครงการ Together Ahead จริงๆ เป็นโครงการที่เราทำมาตั้งแต่เมษายน พอโควิด-19 มา เราเห็นแล้วว่าผู้ประกอบการถูกผลกระทบ มีคนตกงานเยอะแน่ๆ เราก็เลยให้ผู้ประกอบการลงประกาศงานได้ฟรี 4 ประกาศ ในตำแหน่งของพนักงานที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 15,000 รวมทั้งเด็กจบใหม่ เพราะเรามองว่าเด็กจบใหม่มีความเสี่ยงเนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ปรากฏว่าแคนดิเดตบางคนเขายอมลดเงินเดือนตัวเองลงเพื่อมาสมัครงาน เพราะเขาตกงาน ไม่มีรายได้ ดังนั้นงานอะไรเขาก็ต้องทำไว้ก่อน แล้วจำนวนใบสมัครเยอะมาก น่าจะเจ็ดหมื่นกว่าใบ ผู้ประกอบการที่ต้องการคนไปทำงาน ก็น่าจะเข้าร่วมกว่า 600 บริษัท มีประกาศงานสองพันกว่าประกาศ ดังนั้นมันเป็นโครงการที่มีอิมแพคจริงๆ ได้ช่วยคนจริงๆ และผลตอบรับของผู้ประกอบการก็ดีมาก เพราะเขาได้คนไปทำงาน ได้คนที่มีคุณภาพจริงๆ
ท้ายที่สุด ไม่ว่าสถานการณ์เรื่องงานจะเป็นอย่างไร ส่วนตัวเชื่อว่า ภูมิต้านทานในการตกงานที่เราทุกคนควรมีก็คือ ทักษะ ความเชี่ยวชาญในการทำงาน ต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เคารพในอาชีพตัวเอง และทำให้ดีที่สุดในอาชีพตัวเอง
"ทักษะสำคัญที่พนักงานทุกคนต้องมีเลยคือภาษาอังกฤษ เพราะถ้ามีคนสองคนที่มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ทำงานมาเท่าๆ กัน แต่อีกคนไม่ได้ภาษาอังกฤษ ถามว่าวันนี้โอกาสจะเป็นของใคร?
ส่วนตัวเลยนะ เชื่อว่าทักษะสำคัญที่พนักงานทุกคนต้องมีเลยคือภาษาอังกฤษ เพราะถ้ามีคนสองคนที่มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ทำงานมาเท่าๆ กัน แต่อีกคนไม่ได้ภาษาอังกฤษ ถามว่าวันนี้โอกาสจะเป็นของใคร? ยิ่งถ้าเป็นตำแหน่งที่ต้องสื่อสารกับต่างประเทศ แล้วใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ถือว่าเป็นจุดอ่อนละนะ มันทำให้เราแข่งขันกับตลาดไม่ได้ ถามว่ามันยากมั้ย เชื่อว่ามันไม่ได้ยากถ้าเรามีความตั้งใจหรือมีแพสชันที่จะพัฒนาตัวเอง แต่ส่วนใหญ่มันจะยากเพราะไม่มีแพสชันในการพัฒนาตัวเองนี่แหละ คุณอาจจะมองว่าวันนี้ภาษาอังกฤษไม่จำเป็น แต่ถ้าวันหนึ่งคุณเติบโตไป ต้องทำงานในระดับสูงขึ้นไป คุณจะเป็นผู้บริหารที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เหรอ อย่างน้อยวันนี้คุณมีเวลาพัฒนาตัวเองได้ก็ต้องทำ ยกตัวอย่างน้องคนหนึ่งที่ทำงานด้วยกัน ไม่เคยไปเรียนเมืองนอกสักนิดเดียว แต่ภาษาเขาดีขนาดคนที่ไปเรียนเมืองนอกบางคนอาย ทุกอย่างมันเกิดจากแพสชันล้วนๆ เมื่อเขาชอบภาษาเขาก็พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เคยถามวิธีฝึกของเขา เขาบอกว่าชอบดูหนัง ชอบอ่านบทความภาษาอังกฤษ ก็เลยพัฒนาตัวเองเร็ว หแปลว่าภาษาเป็นทักษะที่ฝึกได้ แต่คุณมีแพสชันมากพอที่จะฝึกหรือเปล่าเท่านั้นเอง ที่สำคัญอย่ามองแค่วันนี้ อีกห้าปีสิบปี คุณไม่คิดว่าคุณจะเติบโตหรือ? ไม่คิดว่าจะมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าคนอื่นหรือ?
นอกจากเรื่องภาษาก็มาเรื่องการเข้าใจเทคโนโลยีออนไลน์ ต้องศึกษาหาความรู้ เรื่องนี้ทิ้งไม่ได้จริงๆ เราต้องตามโลกให้ทันเสมอ ต่อมาคือเรื่องทัศนคติ เพราะต้องเข้าใจว่ามันไม่มีบริษัทไหนเขาอยากรับคนที่มีทัศนคติหรือมายด์เซ็ตแย่ๆ เข้าไปทำงานด้วยหรอก เพราะแต่ละบริษัทเขาก็มีวัฒนธรรมของเขา เขาก็มองหาคนที่มีทัศนคติในการทำงานที่ดี เก่งทั้ง hard skill และ soft skill
และถ้าดูรายงานเรื่องอาชีพมาแรงที่ JobsDB มักจะมีรายงานออกมาบ่อยๆ จะเห็นว่า สายงานที่มาแรงมากๆ ก็คือ เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เทรนด์นี้มาหลายปีติดต่อกันแล้ว คือมีดีมานด์มากกว่าซัพพลาย ประกาศหางานเยอะกว่าคนมาสมัคร แต่เมื่อแรงงานในประเทศมีไม่พอ เขาก็จ้างพนักงานต่างชาติเพื่อทำงานทางไกล เรื่องคนไม่พอไม่ใช่แค่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เป็นการขาดแคลนทั่วโลก ซึ่งประเทศที่มีคนเก่งไอทีเยอะก็อย่างที่เรารู้กันคือ อินเดีย แต่ล่าสุดมีข้อมูลจากคนรอบข้างที่ทำงานด้านการศึกษา เขาบอกว่าประเทศจีนน่าจับตามาก เพราะสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาล เนื่องจากเขาคิดว่ามาสอนตอนโตนี่น่าจะไม่ทันแล้ว แล้วไหนจะมีการให้นักบินอวกาศมาสอนเด็กอนุบาลอีก เขาล้ำไปเยอะมาก เพราะเขาเห็นแล้วว่าโลกในอนาคตจะชนะกันด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกินจริงเลย
5. คุณคิดว่าความหมายของงานในศตวรรษที่ 21 คืออะไร?
"งานไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งที่เราทำแล้วมีรายได้ แต่มันจะต้องตอบโจทย์อะไรบางอย่างของแต่ละคนได้ด้วย
งานไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งที่เราทำแล้วมีรายได้ แต่มันจะต้องตอบโจทย์อะไรบางอย่างของแต่ละคนได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ตัวเราเองก่อนมาทำงานนี้ก็คิดเยอะว่าจะทำดีมั้ย แต่มันมีประโยคหนึ่งที่ Regional Director ที่รับเราบอกว่า คุณไม่อยากทำงานที่สามารถช่วยคนที่ตกงานได้มีงานทำเหรอ นี่คืองานที่คุณสามารถช่วยคนได้ มีรายได้ไปเลี้ยงครอบครัว ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นนะ เราก็คิดเลยว่า เออ มันจะมีงานสักกี่แห่งที่ทำแล้ว เรามีรายได้เลี้ยงตัวเองได้ และยังช่วยคนอื่นได้อีก จากการทำงานของเราทุกวันนี่แหละ พูดง่ายๆ คือทำงานอย่างมีเป้าหมาย ทำงานที่เรารู้สึกว่ามีความหมาย หรือได้สร้างผลกระทบที่ดีให้กับสังคม แบบนั้นมากกว่าที่เรามองว่าเป็นความหมายที่ดีของการทำงาน เพราะจะว่าไปแล้วการทำงานแค่ตอบโจทย์เรื่องรายได้ คุณทำอะไรก็ได้นี่ แต่สำหรับบางคนมันไม่ใช่ เขาอาจจะยอมทำงานบางอย่างไม่ได้เลย ทุกข์ทรมานมาก เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์ภายในตัวเอง เราก็เคยมีคนมาทาบทามให้ไปทำงานกับบริษัทใหญ่บางแห่ง แต่เรารู้เลยว่าเนื้อหาของงานนั้นจะเป็นงานที่เราทำแล้วไม่มีความสุข แม้จะได้เงินก็ตาม แต่เราไม่อินไง เมื่อเราไม่อิน เราก็ไม่สามารถสร้างงานกับเขาได้
ต้องย้ำว่าการทำงานที่มีความสุขมันสำคัญมาก เพราะถ้าเราสนุก มีความสุข เราก็จะทุ่มเทมาก อย่างโปรเจ็กต์หนึ่งของ JobsDB เป็นผลงานที่เราทำตอนช่วงโควิด-19 เรียกว่าโครงการ Together Ahead จริงๆ เป็นโครงการที่เราทำมาตั้งแต่เมษายน พอโควิด-19 มา เราเห็นแล้วว่าผู้ประกอบการถูกผลกระทบ มีคนตกงานเยอะแน่ๆ เราก็เลยให้ผู้ประกอบการลงประกาศงานได้ฟรี 4 ประกาศ ในตำแหน่งของพนักงานที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 15,000 รวมทั้งเด็กจบใหม่ เพราะเรามองว่าเด็กจบใหม่มีความเสี่ยงเนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ปรากฏว่าแคนดิเดตบางคนเขายอมลดเงินเดือนตัวเองลงเพื่อมาสมัครงาน เพราะเขาตกงาน ไม่มีรายได้ ดังนั้นงานอะไรเขาก็ต้องทำไว้ก่อน แล้วจำนวนใบสมัครเยอะมาก น่าจะเจ็ดหมื่นกว่าใบ ผู้ประกอบการที่ต้องการคนไปทำงาน ก็น่าจะเข้าร่วมกว่า 600 บริษัท มีประกาศงานสองพันกว่าประกาศ ดังนั้นมันเป็นโครงการที่มีอิมแพคจริงๆ ได้ช่วยคนจริงๆ และผลตอบรับของผู้ประกอบการก็ดีมาก เพราะเขาได้คนไปทำงาน ได้คนที่มีคุณภาพจริงๆ
ท้ายที่สุด ไม่ว่าสถานการณ์เรื่องงานจะเป็นอย่างไร ส่วนตัวเชื่อว่า ภูมิต้านทานในการตกงานที่เราทุกคนควรมีก็คือ ทักษะ ความเชี่ยวชาญในการทำงาน ต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เคารพในอาชีพตัวเอง และทำให้ดีที่สุดในอาชีพตัวเอง
อัปเดตคอร์สใหม่และส่วนลดคอร์สต่างๆ
Thank you!
Policy Pages
Copyright © 2022
รับสิทธิพิเศษก่อนใคร แอดไลน์ @shiftyourfuture